อย่ากลัวที่จะขายเเพง ถ้าคุณเเตกต่างมากพอเเละมีเพียงคุณเท่านั้นที่ทำได้

#อย่ากลัวที่จะขายเเพง ถ้าคุณเเตกต่างมากพอเเละมีเพียงคุณเท่านั้นที่ทำได้ ( ขายน้อยได้ล้าน ) บางคนขายแพง ลูกค้าต่อคิวซื้อแต่บางร้านลดแล้วลดอีกยังไม่มีคนซื้อ คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง บางคนถึงสามารถ “ขายแพง” ได้อย่างน่าทึ่ง จนลูกค้าต้องต่อคิวซื้อ

ในขณะที่บางคนพยายาม “ลดแล้วลดอีก” แต่ก็ยังไม่มีแม้แต่เงาของลูกค้า นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นวิทยาศาสตร์ของการสร้างคุณค่าในใจลูกค้า

อะไรคือ “ความแพง” ที่แท้จริง

หลายคนเข้าใจผิดว่า “ความแพง” คือการตั้งราคาสูงลิ่ว แต่แท้จริงแล้วมันคือ คุณค่าที่ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะจ่าย ต่อให้ราคาแพงแค่ไหน ถ้าลูกค้ารู้สึกว่าได้สิ่งที่มากกว่าเงินที่เสียไป

ลูกค้าก็ยินดีที่จะควักกระเป๋าและนี่คือ 5 ระดับของ “ความแพง” ที่ทำให้บางคนขายแพงแล้วขายดีและบางคนถูกแล้วยังขายไม่ออก

ระดับ 1: หน้าตาแพง (Packaging) – ด่านแรกของการดึงดูด

ลองนึกภาพร้านกาแฟที่ตกแต่งสวยงาม บาริสต้าแต่งตัวเนี้ยบ หรือสินค้าที่แพ็กเกจหรูหราน่าจับต้อง สิ่งเหล่านี้คือหน้าตาแพง

แม้จะยังไม่ได้ลองชิม หรือยังไม่รู้ว่าข้างในเป็นอย่างไร แต่ภาพลักษณ์ภายนอกก็สามารถสร้างความรู้สึกมีราคาขึ้นมาทันทีในสายตาของผู้บริโภค

โลกนี้ตัดสินหนังสือจากหน้าปกเสมอถ้าหน้าตาดูดี บุคลิกภาพน่าเชื่อถือ สินค้าดูน่าใช้ คนก็พร้อมที่จะเปิดใจและยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่าเล็กน้อย

ถ้าขาดไปต่อให้สินค้าดีแค่ไหน แต่ถ้าหน้าตาดูไม่จืด แพ็กเกจเชยๆ หรือหน้าร้านรกรุงรัง ก็ยากที่จะดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาลอง

ระดับ 2: ประวัติแพง (Profile) – เรื่องราวที่สร้างความเชื่อมั่น

เมื่อผ่านด่านแรกไปแล้ว สิ่งที่จะสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าได้คือประวัติและประสบการณ์ลองนึกถึงเชฟชื่อดังที่มีประสบการณ์จากร้านอาหารระดับโลก หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีผลงานมากมายที่ผ่านมา

ลูกค้าไม่ได้จ่ายแค่ค่าสินค้าหรือบริการ แต่จ่ายเพื่อ “ความมั่นใจ” ว่าคุณไม่ใช่แค่มือใหม่ แต่เคยทำสำเร็จมาแล้ว

เคยผ่านความท้าทายมาแล้ว และเข้าใจปัญหาของพวกเขาอย่างถ่องแท้ ประวัติที่แข็งแกร่งคือเครื่องพิสูจน์คุณค่าชั้นดี

ถ้าขาดไปหากไม่มีประวัติหรือเรื่องราวที่น่าสนใจ ลูกค้าก็อาจจะลังเล ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คุณเสนอจะตอบโจทย์พวกเขาได้จริงหรือไม่

ระดับ 3: ความสามารถชัดเจน (Solutions) – แก้ปัญหาได้จริงหรือเปล่า

นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญ จากแค่ดูดีและมีประวัติที่ดี มาสู่การสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้คุณไม่ได้แค่บอกว่า ทำอะไรได้แต่คุณทำให้ลูกค้าเห็นผลได้จริง

ลูกค้าจะยอมจ่ายแพงขึ้น เพราะคุณสามารถ “แก้ปัญหา” ให้พวกเขาได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยประหยัดเวลา

เพิ่มประสิทธิภาพ หรือทำให้ชีวิตดีขึ้น นี่คือจุดเริ่มต้นของคำว่า “ความคุ้มค่า” ที่ลูกค้าจะบอกต่อ

ถ้าคุณทำได้แค่พูดแต่ไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่ชัดเจน ลูกค้าก็จะไม่รู้สึกถึงคุณค่าที่แท้จริง และจะมองว่าราคาที่คุณเสนอนั้นไม่สมเหตุสมผล

ระดับ 4: เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Specialist) – คุณคือหนึ่งเดียวที่ลูกค้าต้องการ

เมื่อคุณไม่ใช่แค่คนเก่ง แต่เป็น “คนเก่งเฉพาะด้าน” ที่ลึกซึ้งและแม่นยำในสาขาของตัวเอง คุณจะเริ่มกลายเป็นที่ต้องการอย่างสูง

คุณรู้ลึกกว่าคนส่วนใหญ่ คุณทำสิ่งนี้มานาน และคุณทำเฉพาะสิ่งนี้ ลูกค้าจะรู้สึกว่าไม่อยากเสี่ยงกับคนอื่น และต้องเป็นคุณเท่านั้น

ทำให้คุณสามารถตั้งราคาสูงขึ้น และมีคนยินดีจ่ายเพื่อความเชี่ยวชาญที่ไม่เหมือนใครนี้

ถ้าขาดไปหากคุณทำได้ทุกอย่างแต่ไม่โดดเด่นในด้านใดเป็นพิเศษ คุณก็จะกลายเป็นแค่หนึ่งในตัวเลือกมากมาย ที่ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบราคาและเปลี่ยนใจได้ง่ายๆ

ระดับ 5: มีชื่อเสียง (Branding) – เมื่อคนอื่นพูดถึงคุณแทนคุณพูดเอง

นี่คือสุดยอดของความ “แพง” ที่ไม่ได้มาจากสิ่งที่คุณพูดเกี่ยวกับตัวเอง แต่มาจาก “สิ่งที่คนอื่นพูดถึงคุณ” ชื่อเสียงและแบรนด์ที่แข็งแกร่งจะยกระดับคุณค่าของคุณไปอีกขั้น

เมื่อคุณมีชื่อเสียง มีแบรนด์ที่ผู้คนยอมรับ ความเชี่ยวชาญของคุณจะถูกยกระดับจากคุณเชี่ยวชาญไปสู่ ผู้คนยอมรับว่าคุณเชี่ยวชาญลูกค้าจะไม่มองหาแค่ของดีอีกต่อไป

แต่จะมั่นใจและอยากได้สิ่งที่มาจากแบรนด์ของคุณ เพราะแบรนด์คือ ความเชี่ยวชาญที่สาธารณะรับรู้

ถ้าขาดไปคุณอาจจะมีความสามารถและเชี่ยวชาญมาก แต่ถ้าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครพูดถึง คุณก็จะเป็นเหมือนเพชรที่ซ่อนอยู่ในเหมือง ซึ่งยากที่จะถูกค้นพบและตีมูลค่าได้เต็มที่

บทสรุป: เส้นทางสู่ “ความแพง” ที่ยั่งยืน

หลายคนอยากจะกระโดดไปที่ Brandingเลย โดยลืมสร้าง ความสามารถและความเชี่ยวชาญหรือบางคนมีแค่แพ็กเกจสวยแต่ไม่มี เรื่องราวที่น่าจดจำ

การไต่ระดับจาก 1 ถึง 5 ไม่ใช่เรื่องของ ความเร็วแต่เป็นเรื่องของ ความตั้งใจในการสร้างคุณค่าอย่างแท้จริง

เมื่อคุณสามารถสร้างและพิสูจน์คุณค่าได้ครบทั้ง 5 ระดับนี้แล้ว ราคาที่คุณตั้งได้จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

เพราะลูกค้าจะเห็นคุณค่าและยอมรับในสิ่งที่คุณนำเสนออย่างเต็มใจ นี่แหละคือ “Game-Changing Branding” ที่จะเปลี่ยนเกมธุรกิจของคุณไปตลอดกาล